โดดดิด่ง เพลงใหม่จากสมาชิก BNK 48 กับหนังไทบ้าน

Doddidong-BNK48-1

ถือได้ว่าเป็นเพลงร่วมสมัยอีกหนึ่งบทเพลง ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในเวลานี้ อย่างที่ทราบกันดีว่า BNK 48 นั้นเป็นวงนักร้องสาวเสียงร้องคุณภาพ ลีลาการเต้นที่โดดเด่น แถมผลงานเพลงแต่ละเพลงก็มีสไตล์จนเป็นที่ถูกอกถูกใจแฟนเพลงทั่วทุกสารทิศ จนกระทั่งความสามารถของพวกเธอได้ไปต้องตาโดนใจทีมงานทำเพลงคุณภาพ ประจำภาพยนตร์เรื่องไทบ้านเดอะซีรีย์เข้า  จึงเกิดการริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานเพลงอีสานร่วมสมัยขึ้น ซึ่งกว่าจะได้เนื้อเพลงที่โดนใจ ท่วงทำนองที่มีเสน่ห์ ตลอดจนการร้องที่ถูกต้องตามความปรารถนาของบรรดาโปรดิวเซอร์ทั้งหลายนั้น เรียกได้ว่านักร้องสาวเกิร์ลกรุ๊ปต่างก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการถ่ายทอดอารมณ์เพลง แต่ท้ายที่สุดพวกเธอก็สามารถทำผลงานออกมาได้เป็นอย่างดี ได้การตอบรับอย่างท่วมท้น เพราะหลังจากการปล่อยเพลงโดดดิด่งออกมาไม่นานมากนัก ยอดการเข้าชมจากแฟนคลับทุกเพศ ทุกวัยจากทั่วฟ้าเมืองไทยก็พุ่งสูงอย่างฉุดไม่อยู่ มากไปกว่านั้นเพลงนี้ยังถูกนำมาคัฟเว่อร์ใหม่อีกหลายรูปแบบ ซึ่งถือเป็นการพิสูจน์แล้วว่าแนวเพลงอีสานที่ถูกนำมาพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัยนั้น ก็มีความงดงาม และน่าค้นไม่แพ้ดนตรีอีสานแบบดั้งเดิมเลย เพราะความลงตัวที่ยากจะปฏิเสธเช่นนี้ จึงทำให้เพลงโดดดิด่งนั้นโด่งดัง และเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สดับรับฟัง

ใช้ใจสื่อสารไปตามทำนอง

อย่างที่ทราบกันดีว่าสมาชิกวง BNK 48 ไม่ได้ใช้ภาษาอีสานเป็นภาษาหลัก ดังนั้นการร้องเพลงเป็นภาษาอีสานถือเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ และท้าทายความสามารถของพวกเธออย่างยิ่ง เพราะด้วยสำเนียงการออกเสียง การเอื้อน เมโลดี้ และทำนองแบบอีสานที่ปรากฏในบทเพลงนี้ไม่ใช่สไตล์การร้องของพวกเธอเลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามการสื่อสารด้วยอารมณ์ และความรู้สึกในการร้องเพลงนั้นก็สามารถทำให้เธอถ่ายทอดเพลงโดดดิด่งได้ออกมาอย่างมีคุณภาพทีเดียว

หาจุดสมดุล

นอกจากเพลงนี้จะเป็นสิ่งที่ท้าทายต่อนักร้องเองแล้ว ทางโปรดิวเซอร์ก็ต้องทำงานอย่างหนักศึกษาเรียนรู้เรื่องท่วงทำนอง การปรับเปลี่ยนเมโลดี้ให้สมดุลเช่นเดียวกัน กล่าวคือการทำเพลงแต่ละเพลงนั้นต้องคำนึงถึงสไตล์ และเอกลักษณ์ของนักร้องด้วย ที่สำคัญต้องสามารถทำให้บทเพลงนั้นมีเสน่ห์ด้วยตัวของมันเองได้ด้วย เมื่อนักร้องสมัยใหม่ มาร้องเพลงแบบอีสานจึงต้องปรับแต่งเมโลดี้เพลงแห่ของอีสานให้เข้ากับสุ่มเสียงของนักร้อง รวมทั้งตัวนักร้องก็ต้องหัดเอื้อนเอ่ย เปล่งเสียงให้เข้ากับท่วงทำนองเพลง เพื่อคงไว้ซึ่งกลิ่นไอของมนต์เสียงพิณซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการประพันธ์เพลงนี้นั่นเอง จากการปรับแต่งสไตล์เพลงให้ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จนได้จุดสมดุลในที่สุด สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้บทเพลงนี้ไม่ขาดไม่เกิน สมบูรณ์แบบสมกับเป็นเพลงร่วมสมัยอย่างยิ่ง

ความแตกต่างที่ลงตัว

สิ่งที่ปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในบทเพลงนี้คือ การนำความแตกต่างของสไตล์การร้องเล่นเต้นรำของนักร้อง มาผสมผสานกันกับดนตรีอีสาน เพราะด้วยสำเนียงการพูดที่บีเอ็นเคต้องปรับเปลี่ยนโทนเสียงในการเปล่งคำร้องเพื่อให้เข้ากับทำนอง และมีความเป็นอีสานเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากการออกเสียงบางพยางค์หรือบางคำของนักร้องก็ยังคงใช้เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยเพื่อเปล่งเสียงอยู่ ซึ่งความแตกต่างนี้เองทำให้ได้คำที่เสียงแปลกไปบ้างแต่ก็ถือเป็นเสน่ห์ของเพลงนี้ ถือเป็นการสร้างสรรค์ผลงานให้ทุกคนได้สัมผัสกับการฟังเพลงอีสานในรูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิมแต่ยังคงความงดงาม และความน่าค้นหาไว้เช่นเดิม